Document

ARTISTS

bangkok

NEW

ALICIA KEYS

BLACK EYED PEAS

CAMILA CABELLO

NEW

ChanYeol

BABYMETAL

CREEPY NUTS

THE ROSE

NEW

Jeff Satur

BE:FIRST

NEW

KickFlip

BUS

because of you i shine

NEW

Kikuo

…and more!

bangkok

NEW

ALICIA KEYS

BLACK EYED PEAS

CAMILA CABELLO

NEW

ChanYeol

BABYMETAL

CREEPY NUTS

THE ROSE

NEW

Jeff Satur

BE:FIRST

NEW

KickFlip

BUS

because of you i shine

NEW

Kikuo

…and more!
อลิเซีย คีย์ส (Alicia Keys) คือ ศิลปินผู้คว้ารางวัล GRAMMY® มากถึง 17 รางวัล เธอเป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรี โปรดิวเซอร์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Keys Soulcare นักเขียนยอดขายดีของ New York Times ผู้ผลิตภาพยนตร์-โทรทัศน์ และการแสดงบรอดเวย์ นักแสดงมากฝีมือ เจ้าของธุรกิจ และเป็นพลังสำคัญของวงการนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมอีกด้วย
เธอเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ She Is The Music แคมเปญที่ริเริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้หญิงและสร้างอนาคตที่เท่าเทียมกันด้านดนตรี นับตั้งแต่การปล่อยอัลบั้มเดบิวต์สุดยิ่งใหญ่ในปี 2001 อย่าง ‘SONGS IN A MINOR’ คีย์ส ทำยอดขายได้มากกว่า 65 ล้านชุด มียอดสตรีมรวมมากกว่า 5 พันล้านครั้ง และได้สร้างผลงานเพลงฮิตมากมายที่ยากจะหาใครเทียบได้
อลิเซีย ได้กลายเป็นศิลปิน R&B หญิงที่ได้รับการรับรองสูงสุดอันดับ #1 จาก RIAA ในยุคสหัสวรรษ ด้วยยอดขายเพลงที่ผ่านการรับรองมากกว่า 37 ล้านเพลง (ในสหรัฐฯ) และยอดขาย 20 ล้านอัลบั้ม (ในสหรัฐฯ) เพลงฮิต "Empire State of Mind" และ "No One" ได้รับการรับรองระดับ Diamond จาก RIAA ในปี 2024 โดยมียอดขายเกินกว่า 10 ล้านยูนิตต่อเพลงเลยทีเดียว ในปี 2021 เธอได้ออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่แปดในชื่อ “KEYS (Original and Unlocked)” ซึ่งเป็นอัลบั้มคู่ ตามมาด้วยดีลักซ์เวอร์ชั่นในปี 2022 และเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ต ALICIA + KEYS World Tour ซึ่งขายบัตรหมดเกลี้ยง นับเป็นการเฉลิมฉลองให้กับอัลบั้ม KEYS และ ALICIA
อลิเซีย ยังได้เปิดตัวหนังสือชื่อ “More Myself : A Journey” ผ่านสำนักพิมพ์ Flatiron Books ซึ่งเปิดตัวไปได้อย่างงดงาม รั้งอันดับหนังสือขายดีของ The New York Times นานหลายสัปดาห์ ในเดือนมีนาคม ปี 2022 เธอก็เปิดตัวนิยายภาพเรื่องแรกของเธอชื่อ “Girl On Fire” ร่วมกับสำนักพิมพ์ HarperCollins ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน คีย์ส ได้ปล่อยอัลบั้มวันหยุดชุดแรกในชีวิต ที่มีชื่อว่า SANTA BABY ซึ่งประกอบด้วยเพลงหลัก 4 เพลง หนึ่งในนั้นคือซิงเกิล “December Back 2 June”
ในปี 2023 คีย์ส เปิดฉากการแสดงโชว์สุดยิ่งใหญ่แบบ 360 องศาในชื่อ “KEYS TO THE SUMMER TOUR” ตะลุย 22 เมืองทั่วทวีปอเมริกาเหนือ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 นิทรรศการ ‘Giants : Art from the Dean Collection of Swizz Beatz and Alicia Keys’ ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ Brooklyn Museum of Art โดยนับเป็นนิทรรศการครั้งแรกของ Dean Collection ที่รวบรวมผลงานสำคัญเกือบ 100 ชิ้นจากศิลปินผิวดำในกลุ่มดิแอสโปร นิทรรศการ Giants มีกำหนดเปิดให้ชมต่อที่ Minneapolis Institute of Art ในเดือนมีนาคม ปี 2025 หลังจากสิ้นสุดการจัดแสดงที่ High Museum of Art ในเมืองแอตแลนตา
HELL’S KITCHEN ละครเวทีมิวสิคัลแบบดั้งเดิมที่ อลิเซีย คีย์ส ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างสรรค์มากว่า 13 ปี ได้เปิดการแสดงที่โรงละครบรอดเวย์ Shubert Theater เมื่อวันที่ 20 เมษายน ปี 2024 ท่ามกลางเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และความสำเร็จเชิงพาณิชย์ HELL’S KITCHEN ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Tony Awards ถึง 13 สาขา และคว้าชัยมาได้ 2 รางวัล และคว้ารางวัล GRAMMY® สาขา Best Musical Theater Album ประจำปี 2025 มาครองได้สำเร็จ โดยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 HELL’S KITCHEN มีกำหนดออกเดินสายทัวร์ทั่วอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ คีย์ส ยังได้รับรางวัล Dr. Dre Global Impact Award จากงาน GRAMMY® Awards ปี 2025 อีกด้วย
กว่า 25 ปี วงทรีโอจากลอสแอนเจลิส
“Black Eyed Peas” ที่ประกอบด้วย 3 สมาชิก will.i.am, Apl.de.Ap และ Taboo ได้คว้า ‘รางวัลแกรมมี่’ มาแล้วมากถึง 6 รางวัล อีกทั้งยังประสบความสําเร็จด้วยยอดขาย 35 ล้านอัลบั้ม และ 120 ล้านซิงเกิล พวกเขาคือหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค รั้งตำแหน่ง "ศิลปิน/วงที่มียอดขายเพลงดาวน์โหลดสูงสุดตลอดกาลลำดับที่สอง” (จัดอันดับโดย Nielsen) และยังติดอันดับชาร์ต Billboard ในตำแหน่ง “100 ศิลปินยอดนิยมแห่งทศวรรษ” อีกด้วย
สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 8 อย่าง ‘TRANSLATION’ ที่ออกในปี 2020 ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย โดยได้รับความร่วมมือจากศิลปินมากมาย ไม่ว่าจะเป็น J Balvin, Ozuna, Maluma, Shakira, Nicky Jam และ Tyga อัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 8 รางวัล ในงาน ‘Billboard Latin Music Awards’ อาทิ สาขา 'Crossover Artist of the Year' และ "Hot Latin Song of the Year" จากเพลง "RITMO" และยังติดโผผู้เข้าชิงในงาน ‘Latin Music Awards ปี 2021’ ในสาขา “Favorite Artists - Crossover"
ซิงเกิล "RITMO (Bad Boys For Life)" [feat. J Balvin] และ "MAMACITA" [feat. Ozuna and J.Rey Soul] ทะยานขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard ถึง 3 ชาร์ต และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมาย อีกทั้งยังได้ certification รับรองระดับ gold, platinum และ diamond จากสถาบันชั้นนำทั่วโลก
คงกระแสความปังอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพลง “GIRL LIKE ME” [feat. Shakira] ที่คว้ารางวัล “Best Latin” ได้จากเวที MTV VMAs ในขณะที่ “HIT IT” เพลงที่ร่วมมือกับ ‘Saweetie และ Lele Pons’ ทำสถิติยอดสตรีมทั่วโลก 5.8 ล้านครั้ง, ยอดสตรีมในสหรัฐฯ 1.1 ล้านครั้ง และยอดวิวบนแพลตฟอร์ม YouTube กว่า10 ล้านวิวเพียงในสัปดาห์แรกเท่านั้น
ในปี 2022 พวกเขากลับมาร่วมงานกับ Shakira และ David Guetta ในเพลง “DON’T YOU WORRY” ซิงเกิลแรกจากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 9 ‘ELEVATION’ ตามมาติดๆ ด้วยผลงานที่ร่วมมือกับ Anitta และ El Alfa อย่าง “SIMPLY THE BEST” และในปี 2023 กับเพลง “BAILAR CONTIGO” ที่ทำงานร่วมกับ Daddy Yankee ไปจนถึงเพลง “GUARANTEE (SUMMER MIX)” ซึ่งทั้งหมดล้วนได้เปิดฉากความรุ่งโรจน์บทใหม่บนเส้นทางอันต่อเนื่องยาวนานของ “Black Eyed Peas”
“Camila Cabello” เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง
นักแสดง และนักเคลื่อนไหวที่เกิดในคิวบา ผ่านการรับรองระดับ Diamond Certification จากสถาบันชั้นนำ และเป็นผู้ท้าชิงรางวัลแกรมมี่ในหลากหลายสาขา เธอผลักดันวงการเพลงและวัฒนธรรมทางดนตรีที่ได้รับความนิยมก้าวข้ามขอบเขตและพรมแดนมากมาย ทะลายเพดานทีละอันไปพร้อมๆ กันกับการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอกลายเป็น “ผู้หญิงฮิสแปนิกคนแรกที่คว้าระดับ Diamond จาก RIAA” มาได้จากเพลงสุดฮิต “Havana” [feat. Young Thug] ที่ครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ และยังถือเป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกสตรีมมากที่สุดตลอดกาลอีกด้วย
เธอเก็บเกี่ยวรางวัลมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจากเวที “Latin GRAMMY® Awards” 2 รางวัล, รางวัล “American Music Awards” ถึง 5 รางวัล และจาก “Billboard Music Award” อีก 1 รางวัล โดยในปี 2018 เดบิวต์อัลบั้มเต็มรูปแบบของเธอที่ชื่อว่า ‘Camila’ ก็สามารถขึ้นสู่อันดับ 1 บนชาร์ต “Billboard Top 200” ได้สำเร็จ ไปจนถึงการได้ครองระดับแพลตตินั่ม อัลบั้มยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขา "Best Pop Vocal Album" อีกทั้งเพลง “Havana (Live)” ก็ได้รับการเสนอชื่อในสาขา “Best Pop Solo Performance” เช่นกัน ด้วยความสำเร็จของซิงเกิลระดับทริปเปิลแพลตตินั่ม อย่าง “Never Be The Same” ทำให้เธอสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเป็น “ศิลปินคนแรกที่ส่งซิงเกิลสองเพลงแรกจากเดบิวต์อัลบั้มขึ้นครองอันดับ 1 นัมเบอร์วันซิงเกิลในหลายรูปแบบ”
ในปี 2019 เธอร่วมงานกับ Shawn Mendes ในเพลง “Señorita” โดยเพลงฮิตระดับ multiplatinum เพลงนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขา “Best Pop Duo/Group Performance” บนเวที “GRAMMY® Awards” ด้านอัลบั้มเต็มชุดที่สองของเธออย่าง “Romance” ก็สามารถคว้าสถานะระดับแพลตตินั่มมาได้ ส่งผลให้เธอกลายเป็น “ศิลปินหญิงคนแรกต่อจาก Adele ที่ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Hot 100, Top 200 และ Artist 100 ได้ทั้ง 3 ชาร์ต” ต่อมาในเดือนเมษายนปี 2022 คามิล่าก็ได้เปิดตัวอัลบั้มเต็มชุดที่สามของเธอในชื่อ ‘Familia’ ที่ประกอบด้วยซิงเกิลฮิตมากมาย อาทิ “Don’t Go Yet” และ “Bam Bam” ที่ทำงานร่วมกับ Ed Sheeran โดยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่และมียอดสตรีมมากกว่า 500 ล้านครั้งจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ คามิล่ายังทำหน้าที่โค้ชในรายการทีวี “The Voice season 22” ซึ่งออกอากาศในฤดูใบไม้ร่วง / ฤดูหนาว ปี 2022 และเธอยังได้เดบิวต์ฐานะนักแสดงในตัวละคร ‘ซินเดอเรลล่า’ ในภาพยนตร์เรื่องยาวอย่าง ‘Cinderella’ ในปี 2021 ต่อด้วยการปรากฏตัวในภาพยนตร์แอนิเมชัน ‘Trolls 3’ และภาพยนตร์เรื่องยาว ‘Rob Peace’ เธอยังเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ L'Oréal และในปี 2021 คามิล่าได้เปิดตัว The Healing Justice Project ร่วมกับ Movement Voter Fund เพื่อสนับสนุนเกี่ยวกับเสียงเรียกร้อง, ปัญหาสุขภาพจิต รวมไปถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ที่ยังไม่ได้รับการตอบรับอีกด้วย
ชานยอล (CHANYEOL) เริ่มต้นเดบิวต์เมื่อปี 2012 ในฐานะสมาชิกวง EXO หนึ่งในวงไอดอลเคป็อปที่โด่งดังที่สุดตลอดกาล ด้วยความนิยมระดับโลกของวง EXO ที่ขับเคลื่อนด้วยเพลงฮิตติดชาร์ตอย่าง “Growl,” “Overdose,” “CALL ME BABY,” “Monster,” “Ko Ko Bop,” “Tempo” และ “Love Shot” ทำให้ ชานยอล กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วจากความสามารถทางการแสดงอันยอดเยี่ยมและทักษะทางดนตรีที่หลากหลาย
ในฐานะศิลปินโซโล่ ชานยอล ได้สร้างเส้นทางอาชีพเดี่ยวของเขาอย่างมีสีสันครอบคลุมถึงการออกซิงเกิ้ล การทำงานร่วมกัน การฟีเจอริ่ง ตลอดจนการมีส่วนร่วมในเพลงประกอบภาพยนตร์ ละคร ไปจนถึงเว็บตูน เป็นที่รู้กันดีว่าเขานั้นมีความเก่งกาจในการท้าท้ายทุกแนวเพลง รวมถึงยังมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งนั่นทำให้เขายังคงขยายขอบเขตทางดนตรีไปได้อย่างต่อเนื่อง
ในปี 2024 ชานยอล ปล่อยอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกที่หลายคนต่างรอคอยอย่าง "Black Out" ที่ซึ่งทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่งบนชาร์ต iTunes ใน 53 ประเทศทั่วโลก ตอกย้ำให้เห็นถึงอิทธิพลของเขาในระดับสากล จากนั้นก็ได้เปิดตัวทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกของเขาในชื่อ "City-scape" ที่ดึงดูดผู้ชมจาก 11 เมืองทั่วเอเชีย ด้วยการขายบัตรการแสดงทั้ง 18 รอบหมดเกลี้ยง รวมถึงการแสดงรอบอังกอร์ ทัวร์คอนเสิร์ตในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการด้านความเป็นศิลปินอันโดดเด่น อีกทั้งยังส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้ชมให้แน่นแฟ้นลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นในฐานะศิลปินเดี่ยว
BABYMETAL ฟอร์มวงในปี 2010 โดยมีสมาชิกวง
3 คน ได้แก่ SU-METAL (Vocal-Dance), MOAMETAL (Scream-Dance) และ MOMOMETAL (Scream-Dance)
เดือนเมษายนปี 2016 BABYMETAL กลายเป็นศิลปินญี่ปุ่นวงแรกที่ขึ้นแสดงใน Wembley Arena อันทรงเกียรติบนแผ่นดินสหราชอาณาจักร ต่อมาในเดือนมิถุนายนปี 2019 พวกเธอขึ้นแสดงในงานเทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดของโลกงานหนึ่งอย่าง Glastonbury Festival ซึ่งการปรากฏตัวของพวกเธอในเฟสติวัลนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั่วโลก และในเดือนกันยายนปีเดียวกัน BABYMETAL เริ่มออกเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต “METAL GALAXY WORLD TOUR” ของพวกเธอ
11 ตุลาคม ปี 2019 BABYMETAL ปล่อยอัลบั้มเพลงชุดที่สามในชื่อ “METAL GALAXY” สู่ตลาดโลก และในวันเดียวกันนั้น ก็ได้จัดอารีน่าโชว์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาขึ้นที่ The Forum ในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ในขณะที่ อัลบั้ม “METAL GALAXY” ขึ้นครองอันดับ 13 บนชาร์ต Billboard Top 200 ของสหรัฐฯ (ชาร์ตอัลบั้ม) ที่ซึ่งทำลายสถิติอัลบั้มก่อนหน้านี้ของพวกเธอไปได้อย่างงดงาม แถมยังขึ้นครองอันดับ 1 บนชาร์ต Top Rock Albums เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในฐานะศิลปินเอเชียอีกด้วย ด้านชาร์ตเพลงอย่างเป็นทางการฟากสหราชอาณาจักร อัลบั้มนี้ยังติดอยู่ใน 20 อันดับของชาร์ต Official Album Top 20 ต่อเนื่องจากอัลบั้มก่อนหน้า และยังคว้าอันดับ 1 บนชาร์ต Rock & Metal Albums Chart มาครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในฐานะศิลปินญี่ปุ่น
ในเดือนมีนาคมปี 2023 วงปล่อยคอนเซ็ปต์อัลบั้ม "THE OTHER ONE" จากนั้นในเดือนเมษายนปี 2023 เฟสใหม่ของ BABYMETAL ก็ได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับชื่อของ SU-METAL, MOAMETAL และ MOMOMETAL พวกเธอยังได้ปิดฉากเวิลด์ทัวร์ที่ครอบคลุมการแสดงใน 25 ประเทศ รวมทั้งสิ้น 98 รอบการแสดง
ในเดือนเมษายนปี 2024 BABYMETAL ทำการแสดงร่วมกับ DETHKLOK ที่ The Masonic ในซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย เป็นเวลา 2 วัน และได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรี Sick New World ที่ลาสเวกัส (ผู้ชม 85,000 คน) ต่อมาในเดือนพฤษภาคม BABYMETAL เป็นเจ้าภาพจัดเฟสติวัลของตัวเองขึ้นภายใต้ชื่อ “FOX_FEST” ณ Saitama Super Arena เป็นเวลา 2 วัน และในเดือนเดียวกันนั้นเอง ยังได้ปล่อยเพลงที่ทำงานร่วมกันกับ Electric Callboy อย่าง "RATATATA" ผ่านช่องทางสตรีมมิ่งไปทั่วโลก และสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 บนชาร์ต Hard Rock Digital Song Sales ของ Billboard ในสหรัฐฯ ได้สำเร็จ
เดือนมิถุนายนปี 2024 BABYMETAL ออกเปิดการแสดงในสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ใน 8 ประเทศ (10 เฟสติวัล, 3 เฮดไลน์โชว์) ที่รวมถึงเทศกาลดนตรีอันมีชื่อเสียงที่สุดของโลก อาทิ Rock im Park ในเยอรมนี (ผู้ชม 80,000 คน), Rock am Ring ในเยอรมนี (ผู้ชม 97,500 คน) หรือจะเป็น Download Festival ในสหราชอาณาจักร (ผู้ชม 100,000 คน) และ Hellfest ในฝรั่งเศส (ผู้ชม 60,000 คน) ตลอดจนการแสดงเฮดไลน์โชว์ในกรุงอัมสเตอร์ดัม (ประเทศเนเธอร์แลนด์), กรุงวอร์ซอ (ประเทศโปแลนด์) และในเมืองตูลุส (ประเทศฝรั่งเศส) ในขณะเดียวกัน เพลง "Kingslayer f. BABYMETAL" ที่เป็นผลงานร่วมกับ Bring Me the Horizon เมื่อปี 2020 ก็สามารถคว้าการรับรองระดับ Gold จาก RIAA (Recording Industry Association of America) ได้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนปี 2024
ต่อมาในเดือนสิงหาคม BABYMETAL ออกทัวร์เอเชียครั้งที่ 2 ขึ้นใน 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศสิงคโปร์, กรุงกัวลาลัมเปอร์ (ประเทศมาเลเซีย), กรุงเทพฯ (ประเทศไทย) และกรุงจาการ์ตา (ประเทศอินโดนีเซีย) อีกทั้งยังได้ทำการแสดงพิเศษร่วมกับ F.HERO บนเวทีการแสดงของวง BODYSLAM ในงานเทศกาลดนตรี ‘SUMMER SONIC BANGKOK 2024’ ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย อีกด้วย
ในเดือนตุลาคมปี 2024 BABYMETAL ปิดฉากทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในภาคพื้นอเมริกาใต้ ที่ครอบคลุมไปยัง บราซิล, อาร์เจนตินา, เปรู และชิลี โดยในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้ พวกเธอยังได้เข้าร่วมแสดงในงานเทศกาล KNOTFEST ที่จัดขึ้นโดย Slipknot และยังได้ปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญพิเศษในคอนเสิร์ตใหญ่ของวง Slipknot ในเม็กซิโก รวมแล้วพวกเธอทำการแสดงไปทั้งหมด 8 โชว์ใน 6 ประเทศ ผ่านสายตาผู้เข้าชมงานมากถึง 180,000 คนเลยทีเดียว หลังจากนั้น BABYMETAL ก็ต่อด้วยทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐฯ ครอบคลุมกว่า 15 เมือง รวมทั้งสิ้น 18 โชว์
ตั้งแต่การเริ่มต้นของเฟสใหม่ในเดือนเมษายนปี 2024 วงทำการแสดงไปแล้วทั้งหมด 51 โชว์ใน 22 ประเทศทั่วโลก แม้ไม่นับการขึ้นแสดงในฐานะศิลปินรับเชิญพิเศษ ผู้ชมรวมทั้งหมดยังมีมากถึง 1.01 ล้านคน ซึ่งนับเป็นสถิติอันน่าเหลือเชื่อที่เวิลด์ทัวร์ของพวกเธอตลอดปี 2024 สามารถทำได้
ในปี 2025 นี้ BABYMETAL ได้ขึ้นแสดงในงาน KNOTFEST Australia ที่เมืองเมลเบิร์น, บริสเบน และซิดนีย์ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม จากนั้นพวกเธอเตรียมออกเดินสายอารีน่าทัวร์ในสหราชอาณาจักรและยุโรปเป็นครั้งแรก ครอบคลุม 12 โชว์ใน 8 ประเทศ เริ่มต้นที่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป โดยจะส่งท้ายทัวร์ครั้งนี้ในวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ The O2 Arena ในสหราชอาณาจักร (ผู้ชม 20,000 คน) ซึ่ง BABYMETAL จะกลายเป็นศิลปินญี่ปุ่นวงแรกที่เปิดการแสดงเต็มรูปแบบในสถานที่จัดงานอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้
และในเดือนมิถุนายนปีนี้ BABYMETAL ก็จะเริ่มต้นทัวร์อเมริกาเหนือครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เริ่มต้นที่การแสดงเมืองฮูสตันเป็นที่แรก
“Creepy Nuts” คู่ดูโอ้ฮิปฮอปจากประเทศญี่ปุ่น เกิดจากการรวมตัวกันของ “R-Shitei” เจ้าของแชมป์
แรปเปอร์ 3 ปีซ้อนจากการแข่งขัน UMB Grand Championship และ “DJ Matsunaga” แชมป์
DMC World DJ Championships
โดย “Creepy Nuts” เริ่มต้นเดบิวต์ในวงการเพลงภายใต้สังกัด Sony Music ในปี 2017
จากนั้นในปี 2021 อัลบั้มของพวกเขาที่ชื่อว่า “Case” ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง “Nobishiro” ก็ทำยอดสตรีมทะลุ 100 ล้านครั้ง นับเป็นก้าวสำคัญครั้งใหญ่ครั้งแรกของ “Creepy Nuts” ในวงการสตรีมมิ่งก็ว่าได้
ต่อมาในเดือนมกราคมปี 2024 ซิงเกิล “Bling-Bang-Bang-Born” ถูกปล่อยออกมา และสามารถกวาดอันดับบนชาร์ตเพลงทั้งในญี่ปุ่นและตลาดสากล ทำสถิติยอดสตรีมสะสมมากกว่า 700 ล้านครั้งจนถึงปัจจุบัน
ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 “Creepy Nuts” ได้ปล่อยอัลบั้ม “LEGION” พร้อมกับการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ที่สุดของพวกเขาขึ้นที่ Tokyo Dome ซึ่งบัตรเข้าชมงานได้ถูกจำหน่ายหมดในทันทีที่เปิดจำหน่าย
และในเดือนตุลาคมนี้ เอเชียทัวร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขาก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
The Rose (เดอะโรส) คือ วงดนตรีอินดี้อัลต์ป๊อปสัญชาติเกาหลี ที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มีพรสวรรค์สี่คน ได้แก่ นักร้องและมือกีตาร์ วูซอง (Woosung), นักร้องและนักดนตรีหลายชนิด โดจุน (Dojoon), มือเบส แจฮยอง (Jaehyeong) และ มือกลอง ฮาจุน (Hajoon)
อัลบั้มที่กําลังจะมาถึงของพวกเขาอย่าง “WRLD" ให้คำสัญญาว่าจะเป็นการผสมผสานเสียงแรกที่คุ้นเคยเข้ากับท่วงทำนองและแนวเพลงที่สดใหม่หลากหลาย โดยแฟนๆ สามารถตั้งตารอที่จะได้พบกับเมโลดี้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรีแนวคันทรี รวมถึงธีมเกี่ยวภาพสะท้อนและการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
เดอะโรส เป็นที่รู้จักจากการแสดงสดอันน่าตื่นเต้น โดยพวกเขาได้กลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดอย่างรวดเร็วในเกาหลี ด้วยการสร้างสรรค์ผลงานอัลบั้มที่ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องและเป็นที่นิยมในหมู่แฟนเพลงทั่วโลก ในปี 2019 สมาชิกสามคนของวงได้หยุดพักการทำงานชั่วคราว เพื่อไปรับราชการทหารตามข้อกำหนด ซึ่งในระหว่างนั้น วูซอง ยังคงเดินหน้าในฐานะศิลปินโซโล่ที่ประสบความสำเร็จ ผ่านการออกอัลบั้มอันน่าหลงใหลและการแสดงเวิลด์ทัวร์ซึ่งบัตรเข้าชมถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็วทั่วโลก
เดอะโรส กลับมารวมตัวกันอีกครั้งบนเวทีการแสดงหนึ่งของวูซองที่เกาหลีใต้ ในปี 2022 สร้างความยินดีให้กับแฟนๆ เป็นอย่างมาก การรวมตัวครั้งนี้ปูทางสู่การออกอัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขาที่มีชื่อว่า "HEAL" ที่ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของดนตรี และจากเรื่องราวส่วนตัวของทั้งแฟนๆ และของวงเอง อัลบั้ม "HEAL" ขึ้นสู่อันดับ 4 บนชาร์ต ‘Heatseekers’ ของ Billboard อีกทั้งเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ต ‘HEAL Together World Tour’ ยังสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมมากกว่า 90,000 คน ความสำเร็จนี้นำไปสู่การปรากฏตัวของพวกเขาในงานเทศกาลดนตรีที่มีชื่อเสียงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเป็นเฮดไลเนอร์เวที Bacardi Stage ในงาน Lollapalooza ปี 2023 ที่ชิคาโก และการแสดงอันทรงพลังที่เทศกาลดนตรี Coachella ในปี 2024
ต่อเนื่องจากความสําเร็จนี้ อัลบั้มเต็มชุดที่สองของพวกเขาในชื่อ “DUAL” ได้เปิดตัวบนชาร์ต Billboard 200 เป็นครั้งแรก นับเป็นก้าวสําคัญยิ่งในเส้นทางการเติบโตของพวกเขา ขณะที่ “HEAL” รังสรรค์ขึ้นบนความซื่อสัตย์ทางอารมณ์และความเปราะบาง “DUAL” พิเคราะห์ถึงลักษณะอันลึกซึ้งของ ‘ความสมดุล’ ซึ่ง เดอะโรส ถักทอองค์ประกอบของความสว่างและความมืดเข้าด้วยกันอย่างชำนาญ เข้าถึงแก่นสารของการอยู่เป็นคู่กันอันนิยามได้ถึงลักษณะทางดนตรีของพวกเขา
ด้วยความทุ่มเทอย่างแน่วแน่ต่อแฟนๆ และสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในมิตรภาพของพวกเขา เดอะโรส ยังคงขยายขอบเขตงานศิลป์ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดผู้ชมทั่วโลกผ่านดนตรีที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณและการแสดงอันยากจะลืมเลือนของพวกเขา
เจฟ ซาเตอร์ คือ ศิลปินผู้ทรงพลังมากที่สุดคนหนึ่ง ของไทย เปี่ยมไปด้วยความสามารถครบเครื่องทั้งการเป็น นักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ นักดนตรีหลายประเภท และนักแสดง โดยฐานแฟนคลับของ เจฟ กำลังขยายตัวทวีคูณมากขึ้นไปทั่วทั้งโลก
แนวเพลงของ เจฟ เรียกได้ว่า สดใหม่ ผสมผสานดนตรีหลากหลายแนวเข้าด้วยกันได้อย่างทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นแนวป็อป อาร์แอนด์บี ร็อค ไปจนถึงดนตรียุค 80s ซึ่ง เจฟปล่อยซิงเกิลกับทาง Warner Music ซิงเกิลแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2021 และทำสถิติยอดสตรีมรวมกันมากกว่า 400 ล้านครั้งจนถึงปัจจุบัน
ในปี 2024 เจฟ ปล่อยอัลบั้มชุดแรกของตัวเอง ต่อด้วยทัวร์คอนเสิร์ต Space Shuttle No. 8 Asia Tour ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก บัตรคอนเสิร์ตขายหมดในหลายๆ ที่ ทั้งใน ไทเป สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาสง และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ เขายังได้จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวขึ้นที่สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และกรุงเทพฯ และกำลังมีแผนที่จะขยายทัวร์ไปยังทวีปอเมริกาใต้ในช่วงต้นปี 2025 อีกด้วย
ปัจจุบันตารางงานของ เจฟ แน่นเอี๊ยดไปกับการขึ้นแสดงในงานเฟสติวัลต่างๆ ทั่วประเทศไทย รวมไปถึงยังเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ต่างๆอีกมากมาย
BE:FIRST คือ วงบอยแบนด์ประกอบด้วยสมาชิก 7 คน ที่เน้นด้านการเต้นและการร้องจากประเทศญี่ปุ่น โดยได้เซ็นสัญญาภายใต้เมเนจเม้นต์เอเจนซี่และค่ายเพลงของแร็ปเปอร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่นอย่าง SKY-HI ที่มีชื่อว่า BMSG สมาชิกแต่ละคนในวงมีความสามารถอันโดดเด่น ทั้งการร้อง การเต้น และการแร็ป อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความสามารถทางดนตรีอันหลากหลายในด้านอื่นๆ อาทิ การแต่งเพลง และการออกแบบท่าเต้น
สมาชิกแต่ละคนของวงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าดึงดูด ซึ่งนั่นทำให้พวกเขานั้นแตกต่าง ภายใต้ชื่อ BE:FIRST พวกเขาทั้ง 7 กวาดอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงมาแล้วมากมายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ก่อนเดบิวต์เสียด้วยซ้ำ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังย่างเท้าก้าวแรกอย่างอาจหาญจากโตเกียวสู่เวทีโลก
ในเดือนธันวาคมปี 2024 วง BE:FIRST เปิดการแสดงโดมทัวร์ครั้งแรกสุดของพวกเขาภายใต้ชื่อ "BE:FIRST DOME TOUR 2024-2025 '2:BE'" ใน 4 เมืองรวมทั้งสิ้น 9 รอบการแสดง นอกจากนี้ เวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเขา ในชื่อ "BE:FIRST World Tour - Who is BE:FIRST?" ก็ได้คอนเฟิร์มกำหนดการออกมาแล้ว โดยมีแผนการเดินทางไปแสดงใน 15 เมืองทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป นับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2025 เป็นต้นไป
KickFlip คือ วงบอยกรุ๊ปที่มีสมาชิก 7 คน จากค่าย JYP Entertainment เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 ประกอบไปด้วย กเยฮุน, อามารุ, ดงฮวา, จูวัง, มินเจ, เคย์จู และ ดงฮยอน โดยเมมเบอร์แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีความชำนาญด้านการแสดงอันแข็งแกร่ง มีพื้นฐานจากการฝึกฝนที่หลากหลาย อีกทั้งยังสามารถแสดงออกถึงทักษะส่วนตัวได้อย่างน่าประทับใจ
ชื่อวงถูกตั้งขึ้นตามชื่อของท่าทริคในกีฬาสเก็ตบอร์ด ซึ่งผู้เล่นจะต้องหมุนบอร์ดเต็มรอบ 360 องศา และพลิกกลับมาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น KickFlip จึงสื่อให้เห็นถึงการก้าวกระโดดอย่างไม่เกรงกลัว สู่ความท้าทายใหม่ๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และพลังงานอันเหลือล้น
มินิอัลบั้มเดบิวต์ชุดแรกของ KickFlip ทำสถิติยอดสั่งจองล่วงหน้ามากกว่า 300,000 ชุด ส่งสัญญาณให้เห็นถึงความมุ่งหวังอันร้อนแรงที่มีต่อพวกเขา ส่วนมิวสิกวิดีโอเพลง "Umm Great" ที่ถูกปล่อยออกมาก่อนเพลงวางจําหน่าย ก็มียอดวิวทะลุ 3.1 ล้านวิว ภายใน 24 ชั่วโมงแรก จนคว้าอันดับ 4 บนชาร์ต YouTube Trending ในประเทศเกาหลี และรั้งอันดับ 9 ในชาร์ตระดับทั่วโลกไปครอง ปัจจุบันมียอดวิวสะสมมากกว่า 16 ล้านวิวเลยทีเดียว ด้านมิวสิกวิดีโอเพลงออฟฟิเชียลไตเติ้ลอย่าง "Mama Said" ก็ได้รับความสนใจอย่างมากเช่นกัน โดยมีสะสมยอดวิวเกิน 25 ล้านครั้งจนถึงปัจจุบัน
KickFlip ได้รับการเสนอชื่อในสาขา 'Discovery of the Year' และได้รับรางวัล 'Remarkable Discovery' ในงาน D-Awards ปี 2025 ย้ำชัดให้เห็นว่าพวกเขาได้อยู่ในสถานะรุกกี้ที่น่าจับตามองที่สุดวงหนึ่งของปี
BUS because of you i shine
ศิลปินไอดอลบอยกรุ๊ปจากประเทศไทยภายใต้สังกัด Tada Entertainment และ Sonray Music ประกอบไปด้วยเด็กผู้ชายธรรมดา 12 คนที่เปล่งประกายจากการได้รับความรักจากทุกคน ALAN, MARCKRIS, KHUNPOL, HEART, JINWOOK, THAI, NEX, PHUTATCHAI, COPPER, AA, JUNGT และ PEEMWASU แต่ละคนล้วนมีคาแรกเตอร์และตัวตนที่แตกต่างกัน แต่รวมกันได้อย่างลงตัว
เริ่มจากการเดบิวต์ด้วยเพลง Because of You, I Shine ​ใน วันที่ 6 ธันวาคม 2566 ก็ได้ปล่อยผลงานเพลงพร้อมโชว์ศักยภาพหลากหลายทั้งการร้อง การเต้น และการแรปมาอย่างสม่ำเสมอ
โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา BUS ได้มีการปล่อยเพลงไปทั้งสิ้น 11 เพลง ประกอบไปด้วย Because of You, I Shine, WATCH YOUR STEP, แค่ไหนแค่นั้น (NO MATTER WHAT), แค่น้องชาย (brother zone), LIAR, TRANSFORMER, และเพลงล่าสุดอย่าง BOW WOW ที่มีการโชว์ให้ทุกคนได้ดูครั้งแรกใน BUS because of you i shine The 1st Concert LIGHT THE WORLD Presented by Dutch Mill Drinking Yoghurt ในวันที่ 14-16 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งแฟนๆก็พร้อมใจ Say Bow Say Wow กันดังลั่น IMPACT ARENA ตลอดทั้ง 3 วัน
นอกจากนี้ยังมีเพลง Music Marketing ฟีลลิ่งแบบว่าอู้วว! (Feeling Bab Wa Ooh!) เพลงประกอบรายการบัส ซิ่ง ไทยแลนด์ (BUSSING THAILAND) เพลงเฟี้ยว และภาพเรา (Good Quality Picture) และเพลงกั๊ก (No-status Status) เพลงประกอบซีรีส์วัยรุ่นแห่งปี GELBOYS สถานะกั๊กใจ ซึ่งทุกเพลงก็ได้รับกระแสตอบรับจากทุกคนเป็นอย่างดี จนปัจจุบัน BUS ได้เป็นศิลปินไอดอลบอยกรุ๊ปที่มียอดวิวบน YouTube มากกว่า 10 ล้านวิวถึง 6 เพลง และเพลง TRANSFORMER ยังเป็นเพลงที่ได้ยอดวิวบน Youtube ครบ 1 ล้านวิวก่อน 24 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นเพลงของ BUS ที่มียอดวิวมากที่สุดใน 1 วันนับตั้งแต่ปล่อยผลงานเพลงออกมา และในปัจจุบัน BUS ยังมียอดสตรีมบน Spotify มากกว่า 100,000,000 streams พร้อมทั้งยังคว้ารางวัลจากผลงานเพลงมามากกว่า 10 รางวัล ซึ่งถือว่าเป็นการการันตีความสามารถของทั้ง 12 หนุ่มได้เป็นอย่างดี
Kikuo คือ ศิลปินอิเล็กทรอนิกส์จากญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในด้านการสร้างสรรค์ดนตรีที่ทั้งความงดงามและน่าพิศวง ด้วยท่วงทำนองแสนหวานซ้อนทับด้วยบรรยากาศอันดำมืด เขาเริ่มเผยแพร่ผลงานต้นฉบับทางออนไลน์ตั้งแต่ต้นยุค 2000 และเริ่มค้นพบแนวทางเฉพาะตัวในปี 2010 ผ่านการใช้ Vocaloid ซอฟต์แวร์สังเคราะห์เสียงร้องที่มีตัวละครอย่าง Hatsune Miku เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นับแต่นั้น Kikuo ก็กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลก Vocaloid ด้วยเสียงดนตรีที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งและเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ
ผลงานแจ้งเกิดของเขา “Aishite Aishite Aishite” กลายเป็นเพลง Vocaloid เพลงแรกที่มียอดสตรีมทะลุ 100 ล้านครั้งบน Spotify และยังมีผลงานอื่นๆ ที่มียอดสตรีมนับล้านครั้งทั่วโลก
ในปี 2024 Kikuo ได้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะโปรดิวเซอร์ Vocaloid คนแรกที่ออกเวิลด์ทัวร์เต็มรูปแบบ “Kikuoland: Go-Round” ซึ่งจัดแสดงทั้งหมด 41 โชว์ใน 19 ประเทศทั่วโลก รวมถึงจีน ญี่ปุ่น อเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และยุโรป ปีเดียวกันนั้นเขายังคว้ารางวัล Excellence Award จากสาขา VR ของ Lumiere Japan Awards สำหรับโลกเสมือนจริงใน VRChat ที่มีชื่อว่า Yoru Toge ซึ่งได้รับคำชมในด้านความลุ่มลึกทางอารมณ์และความแปลกใหม่ในการเล่าเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นบนโลกออนไลน์หรือเวทีการแสดงจริง Kikuo ยังคงผลักดันขอบเขตของเสียง เสียงร้องและการแสดงออกอย่างไม่หยุดยั้ง พาผู้ฟังก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงที่ไม่เหมือนใคร